มาถึงบทความที่สองของผมนะครับต่อจากบทความแรกในเรื่องของ กรรม เรามาเรียนรู้เรื่องของกรรมต่อกันเพื่อการใช้ชีวิตที่ไม่ประมาทนะครับ
หลายท่านอาจไม่เคยทำบุญหรือไม่เคยนึกคิดในเรื่องของเวรกรรมใดๆเลยสาเหตุสำคัญอย่าหนึ่่งอาจเป็นเพราะเราคงถูกเจเากรรมนายเวรเขาบังตาบังใจไว้ครับ ทำให้ไม่รู้จักทำบุญทำกุศลแบบที่ได้บุญจริงๆ ถ้ามนุษย์เราเชื่อเรื่องกรรมจริงๆแล้ว ลองค้นคว้าหาสาเหตุต้นเรื่องกรรม ก็คงจะเห็นว่า ผลนั้นย่อมเกิดจากเหตุ ทำดีก็ต้องได้ดี ทำชั่วก็ต้องได้ชั่วตามนั้นมันเป็นกฎของธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเก่งเกินกรรมไปได้เลย กรรมใดจะมาก่อนมาหลังนั้น เป็นไปตามคิวครับตามวาระของมัน ตามเงื่อนไขของกรรมที่เราได้กระทำไว้ อาจสะสมหลายภพหลายชาติจนมาถึงปัจจุบัน
คำถามที่ว่า ทำไหมเราต้องมาเรียนรู้เรื่องของกรรมนั้น ผมก็ขอตอบตรงนี้เลยว่า เราเรียนเพื่อที่จะเข้าใจเรื่องของกรรมแบบทะลุปรุโปร่ง รู้แจ้งเห็นจริง เราเรียนรู้เพื่อที่จะได้ไม่มีชีวิตอยู่ในความประมาทอีก
เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็เกิดการยอมรับทำให้มีความสุข เพราะจะทำอย่างไรเราก็ไม่อาจหนีกรรมพ้นกรรมที่ทำเอาไว้แม้จะเกิด ตายไปอีกหลายร้อยชาติหรือกี่ชาติก็ตาม จนกว่าจะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมเข้าสู่ความหลุดพ้นจนสิ้นกิเลส ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
ในทางพระพุทธศาสนานั้น บอกไว้เป็นสัจธรรมว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" และกรรมคืออะไรกันแน่เรามาทำความรู้จักกัน
กรรม แปลว่า "การกระทำ" ได้แก่ การกระทำทางกาย เราเรียกว่า กายกรรม ทางวาจา เรียกว่า วจีกรรม และ ทางใจเรียกว่า มโนกรรม และทางแห่งการกระทำจำแนกได้เป็น ๒ อย่างคือ
๑.กรรมฝ่ายไม่ดีหรือกรรมชั่ว เรียกว่า อกุศลกรรม
๒.กรรมฝ่ายดีเรียกว่า กุศลกรรมบถ
กรรมฝ่ายดีหรือกรรมฝ่ายไม่ดีนั้น อยู่ที่การกระทำกรรมนั้นๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ตัณหาเป็นกรรม สมุทัยคือเหตุให้เกิดกรรม มรรคเป็นทางดับกรรม ฉะนั้นจึงไม่ต้องกลัวอดีตแต่ให้ระวังปัจจุบันกรรม และระวังใจตั้งมั่นให้มั่นไว้ในธรรม ธรรมจะรักษาให้มีความสุขทุกกาล
ก็จบในเรื่องของ กรรมคืออะไรทั้งสองบทความแล้วนะครับหวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้สนใจศึกษาก็ขอให้มั่นในความดีนะครับ สนใจบทความสาระต่างๆด้าน ขวามือได้เลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น